หลวงปู่ชิต โรจนวังโส มีนามเดิมว่า นายชิต นามสกุล แสงเพชร เกิดวันที่ 28 เดือนกันยายน พ.ศ. 2510 ตรงกับวันแรมสิบสองค่ำ เดือนสิบสอง ปีมะแม โยมพ่อชื่อ พ่อเทียว แสงเพชร โยมแม่ชื่อ แม่นวล แสงเพชร มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เป็นบุตรคนที่ 5 เป็นคนสุรินทร์โดยกำเนิด เมื่อปี พ.ศ.2557 ได้อุปสมบท ที่วัดในอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่ออุปสมบทเข้ามาในร่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว หลวงปู่จะเน้นการปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง อ่านหนังสือธรรมมะ หนังสือสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาและแผ่เมตตา บางครั้งอดอาหารเพื่อฝึกความมีขันติ และลดกิเลสคือความอยากไปด้วย บางครั้งที่ได้ติดตามหลวงพ่อมีเจ้าอาวาสไปตามกิจนิมนต์พิธีพุทธาภิเษกด้วย หลวงปู่ทำเช่นนี้เรื่อยมา มีความอัศจรรย์อีกประการหนึ่งคือ เมื่อปี พ.ศ. 2558 หลวงปู่พยายามท่องจำพระคาถาชินบัญชร เป็นเวลาหลายเดือน แต่ก็ท่องจำไม่ได้สักที จวบจนในวันหนึ่ง หลวงปู่ได้อธิษฐานขอพร ขอให้ท่องจำพระคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตแห่งวัดระฆังให้ได้ แล้วความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในขณะที่หลวงปู่ทำสมาธิ เกิดนิมิตรได้เห็นแสงสว่างเข้ามาภายในห้อง แล้วแสงตกลงไปที่หนังสือมนต์พิธี หลวงปู่ก็ออกจากนิมิตรนั้น แล้วก็รีบท่องจำบทสวดมนต์พระคาถาชินบัญชรอีกครั้ง ครานี้ใช้เวลาอยู่ 3 วัน หลวงปู่ก็ท่องจำได้ขึ้นใจ ในช่วงนี้หลวงปู่เกิดความอยากรู้อยากลองในคุณวิเศษของการได้ประพฤติปฏิบัติธรรมจากการนั่งสมาธิและการสวดมนต์ภาวนา หลวงปู่จึงลอง “ใบ้หวย” บอกชาวบ้าน ปรากฎว่าชาวบ้านถูกหวยติดต่อกันหลายงวดเลยทีเดียว หลวงปู่จึงเป็นที่รักที่ศรัทธาของชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็เป็นที่เกลียดที่ชังแก่เจ้ามือหวย หลวงปู่จึงได้เลิกไปในที่สุด จนถึงปีพ.ศ.2559 หลวงปู่ได้มีนิมนต์มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ห้วยลำพอง บ้านกุดเชียงมุน จังหวัดอุบลราชธานีณ สถานที่นี้ หลวงปู่ได้พัฒนาเสนาสนะให้สะอาดสะอ้าน เป็นที่น่าอยู่ขึ้น แต่ด้วยความที่หลวงปู่สวดมนต์สำเนียงไม่เหมือนใคร เวลาสวดมนต์พร้อมกับพระรูปอื่นทำนองการสวดมนต์เข้ากันไม่ได้ จึงมีชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่ค่อยพอใจ ไม่อยากให้หลวงปู่พำนักอยู่ที่นี้อีกต่อไป จวบเหมาะกับที่วัดบ้านคำระหงษ์ จังหวัดอุบลราชธานี มีเพียงพระผู้เฒ่าอาพาธอยู่เพียงรูปหนึ่งเท่านั้น ชาวบ้านคำระหงษ์จึงพร้อมใจกันนิมนต์หลวงปู่มาพำนักและจำพรรษาที่วัดคำระหงษ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน เมื่อมาอยู่ที่วัดนี้ หลวงปู่ได้ช่วยสวดมนต์สะเดาะเคราะห์ตามตำราให้กับพระผู้เฒ่าที่อาพาธนั้นด้วย จนกระทั่งหายเป็นปกติดี และเริ่มมีญาติโยมเข้ามาหาหลวงปู่มากขึ้น มาทำบุญบ้าง มารดน้ำมนต์บ้าง มาทำพิธีบ้าง ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยเรียกรับปัจจัย แต่ก็มีบางคนที่ทำบุญถวายปัจจัย หลวงปู่จึงได้นำปัจจัยนั้นมาพัฒนาวัด ทำการปฏิสังขรณ์เสนาสนะกุฏิพระ ซื้อหิน ดิน ทราย เข้ามาถมปรับพื้นที่ในบริเวณวัด เทปูนทำพื้นคอนกรีต เปลี่ยนสังกะสีธรรมศาลา พร้อมทาสีใหม่ เพื่อให้วัดน่าอยู่ยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสงเคราะห์ให้ทุนการศึกษาเด็กเรียนดีที่ยากจน ที่โรงเรียนบ้านกุดเชียงมุนด้วย เมื่อมีญาติโยมนำปัจจัยมาทำบุญ หลวงปู่ก็จะนำไปทำบุญต่อ จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมและปฏิปทาของหลวงปู่นั้น ท่านอุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนา สงเคราะห์ญาติโยมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพัฒนาวัดอย่างแท้จริง การจัดสร้างวัตถุมงคล เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 มูลเหตุมาจากที่ญาติโยมเข้ามาหา พอถึงเวลากลับ ก็มักจะเอ่ยปากขอของดีกลับบ้านไปด้วย เดิมทีหลวงปู่ก็ให้พวกว่านมงคลต่างๆ ทำตะกรุดบ้าง ให้ไว้เป็นที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พอเป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้ทำบาป ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้ทำแต่คุณงามความดี ให้เดินทางปลอดภัย เมตตาค้าขายดี ให้รวย ให้เฮง หลวงปู่จะอวยพรอย่างนี้ ประสบการณ์จากลูกศิษย์ของหลวงปู่นั้นก็ถือว่ามีเยอะพอสมควร ทั้งคนไทยและคนจีนต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่แม่ค้าขายของตลาด บ้านอยู่ใกล้วัด เข้าไปหาหลวงปู่แล้วบอกเล่าว่าขายของไม่ค่อยดี ไปขายของที่ตลาดอำเภอตั้งแต่เช้ากว่าจะขายหมดก็บ่ายสามบ่ายสี่โมงเย็น หลวงปู่จึงให้ลองเอาวัตถุมงคลไปบูชาปรากฎว่าขายดีขึ้น ประมาณเที่ยงก็ขายของหมดแล้ว อีกทั้งมีประสบการณ์รถยนต์พลิกคว่ำไปหลายตลบรถพังยับเยิน แต่คนไม่เป็นอ่ะไรเลย ในรถมีเพียงรูปรุ่นแรกหลังอุดผงเท่านั้น อีกรายหนึ่งก็คนจีนที่เกือบจะล้มล่ะลาย ได้พระงานเข้าของหลวงปู่ไปบูชา ปรากฎว่างานเข้าเยอะ ออเดอร์มาปังมาก คนจีนคนนี้จึงได้บูชาพระงานเข้าไปทั้งหมดเลย วัตถุมงคลที่หลวงปู่จัดสร้างขึ้นมา ส่วนใหญ่จึงไปอยู่กับคนจีนเกือบทั้งหมด แต่ที่อัศจรรย์ใจมากจริงๆก็คือเรื่องขายรถ ที่ข้าพเจ้าคนเขียนเจอกับตัวจริงๆ ตอนนั้นได้ประกาศขายรถ เป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ยังขายไม่ได้สักที พอดีกับได้โอกาสเข้าไปหาหลวงปู่ที่วัด วันนั้นเป็นช่วงเวลาเที่ยง บอกหลวงปู่ว่าอยากจะขายรถ แล้วเอารูปรถให้หลวงปู่ดู “ขายได้ ขายได้” หลวงปู่บอก พอพูดจบ ก็มีคนโทรเข้ามาติดต่อซื้อรถทันที จนต้องขับรถกลับมาที่กรุงเทพ เพื่อขายรถในคืนนั้นเลย เรื่องล่าสุดนี้ก็คือเรื่องขายบ้านในยุคลุงตู่ ซึ่งใครๆก็บอกว่าขายยาก ขายไม่ได้หรอก แต่ก็ขายไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้เอง เรื่องเล่าประสบการณ์นั้นยังมีอีกเยอะ จะเขียนบรรยายมาทั้งหมดก็จะยาวเกินไป จึงขอบรรยายไว้เพียงเท่านี้ก่อน |